หนึ่งในข้ออ้างอมตะของคนทั่วไปเมื่อพูดถึงการลงทุนอย่างหนึ่งคือ มีเงินนิดเดียว จะเอาไปลงทุนอะไรได้ ทุนน้อย กำไรก็น้อยตาม (อีกพวกที่น่ากลัวคือ ทุนน้อย แต่อยากกำไรเป็นร้อยเป็นพันเท่า อันนี้เจอบ่อยเหมือนกัน น่ากลัว) นักลงทุนและคนที่อยากเป็นนักลงทุนทั่วไป คงเจอกับปัญหานี้เมื่อตอนเริ่มต้นศึกษาการลงทุน คือไม่รู้จะเอาเงินที่ไหนมาลงทุน ผมมีแนวทางสำหรับผู้เริ่มต้นลงทุน ที่มีทุนน้อย มานำเสนอ
เก็บเงินไว้ก่อน
ถ้าเงินที่นำมาลงทุนน้อยมากๆ เช่น 4-5 พันบาท อาจทำให้เราไม่มีแรงบันดาลใจในการศึกษา หรือจริงจังกับการลงทุนมากพอ ระยะนี้ เอาเงินไปฝากประจำไว้ก่อนก็ได้ครับ ฝึกวินัยทางการเงินไปในตัว ฝากทุกเดือน ระหว่างนั้นก็ศึกษาหาความรู้ ซื้อหนังสือลงทุนมาอ่าน วางแผนไว้ในแผ่นกระดาษ เมื่อได้เงินก้อนหนึ่ง ค่อยไปลงทุน ทำตามแผนที่เราคิดไว้ครับ
ลงทุนทำธุรกิจส่วนตัว
เราอาจจะแบ่งการลงทุนได้เป็น 2 แบบ คือ การลงทุนทางตรง และลงทุนทางอ้อม การลงทุนทางตรงนั้น เป็นการเอาเงินของเรา ไปลงทุนทำธุรกิจ เพื่อให้ได้เงินมาตรงๆ เงินลงทุนที่ยังไม่สูงมาก อาจจะเป็นหลักหมื่น หรือหลักแสน นั้นมากพอที่จะเริ่มต้นกิจการอะไรเล็กๆ สักอย่าง เพื่อสร้างกระแสเงินสดเข้ามาให้ตัวเอง เพื่อเพิ่มเงินต้นที่จะเอาไปต่อยอดการลงทุนอื่นๆ ในอนาคต และขณะเดียวกัน ก็ใช้เป็นเงินเพิ่มสภาพคล่องให้ตัวเอง เพื่อใช่จ่ายในชีวิตประจำวันต่างๆ เพิ่มเติมจากเงินเดือนจากงานประจำ (กรณีที่ทำงานประจำไปด้วย)
การทำธุรกิจส่วนตัวเล็กๆ อาจเป็นธุรกิจที่ไม่เท่ ไปอวดใครไม่ได้ แต่สามารถผลิตเงินสดได้ ให้หักลบกับค่าใช้จ่ายแล้วเหลือเงินเพื่อนำไปต่อยอดการลงทุนอื่นๆ ได้พอสมควร ตัวอย่างเช่น อาจจะขายอาหาร อย่างหมูปิ้งตอนเช้า รับสินค้ามาขายทางเว็บไซต์ เช่าแผงขายของตามตลาดนัด หรือหน้าห้างสรรพสินค้าที่คนพลุกพล่าน ก็เป็นทางเลือกที่ดี
ลงทุนในหุ้น
การลงทุนทางอ้อม คือการนำเงินไปซื้อสินทรัพย์ที่สามารถเพิ่มมูลค่าได้ เช่นหุ้น ทองคำ หรือกองทุนรวมต่างๆ การลงทุนในหุ้นเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ เมื่อเรามีเงินก้อนหนึ่ง เอาไปลงทุนในหุ้น “ขนาดเล็ก” หุ้นขนาดเล็กคือหุ้นที่มี market cap เล็ก โมเดลธุรกิจน่าสนใจ กิจการกำลังเจริญเติบโต ทำให้พอร์ทเราโตได้เร็ว (เพิ่มมูลค่าได้มากในเวลาน้อย เช่น มูลค่าเพิ่มขึ้น 40-50% ภายในเวลา 1 ปี) ซึ่งแตกต่างกับพวกหุ้นตัวใหญ่ๆ อย่างหุ้นพลังงาน หรือหุ้นธนาคาร ซึ่งเป็นหุ้น market cap ใหญ่ เติบโตช้า ปีหนึ่งอาจจะเติบโตเพียง 10-15% (หุ้นของกิจการขนาดใหญ่ราคาย่ำอยู่กับที่มาหลายปีก็มี)
(การลงทุนหุ้น ถือเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงระดับสูงสุดเมื่อเทียบกับการลงทุนประเภทอื่นๆ ควรมีความรู้ระดับหนึ่งก่อนลงทุน และการลงทุนในหุ้นก็มีหลายสไตล์ เช่น ถือรับปันผล เทรดรายวัน ฯลฯ แต่ละแบบมีความเสี่ยงแตกต่างกัน ควรศึกษาให้เพียงพอก่อน ดีที่สุดครับ)
ลงทุนในความรู้
อาจเป็นคำเชยๆ ที่แนะนำกันทั่วไป แต่ถ้าเป้าหมายของเราคือความมั่งคั่ง และอิสรภาพทางการเงิน ความรู้ และวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ การอ่านหนังสือดีๆ หรือดูสารคดีความรู้บ่อยๆ และเสพสื่อบันเทิงบ้าง ทำให้เรามีมุมมองที่หลากหลาย ทุกสิ่งสามารถนำไปประยุกต์ และต่อยอดกับกิจการ หรือการลงทุนของเราได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยุคข้อมูลข่าวสารที่ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างไร้ขีดจำกัด อย่างรวดเร็ว ทางอินเตอร์เนต และเคเบิ้ลทีวีต่างประเทศ การมองเห็น และเก็บมาวิเคราะห์ ทำให้เราได้เปรียบคนอื่น
การศึกษาการลงทุน เป็นสิ่งที่ต้องใช้พลังงานและความตั้งใจมากพอสมควร ถ้าเรารีบศึกษา รีบฝึก รีบทดลอง จับแก่นแท้ของการลงทุนให้ได้ จนกลายเป็นความสามารถพื้นฐานของเรา มีความสามารถตั้งแต่อายุน้อยๆ และมีเงินน้อยๆ อยู่ ต่อไปถ้าอายุเพิ่มขึ้น มีเงินมาลงทุนมากขึ้น เราก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีกต่อไป (ให้เรานึกภาพกีฬาที่เราอยากเล่นตอนอายุเยอะๆ เช่นตีกอล์ฟ ถ้าเราฝึกตี พยายามเล่นให้เป็นตั้งแต่วัยรุ่น ตอนอายุ 30-40 เราก็จะสนุกกับมันแล้ว ไม่ต้องลำบาก ไม่ต้องใช้ความพยายามมากมาย ได้เปรียบคนที่เพิ่งเริ่มต้นตอนอายุเยอะๆ จริงมั้ยละครับ?)
สุดท้ายนี้ อยากให้มองการลงทุน เป็นเพียงพาหนะที่พาไปสู่จุดหมายทางการเงินของเราเท่านั้น เมื่อเราเดินทางไปไกลขึ้นถึงจุดหนึ่ง รถจักรยาน ไม่อาจพาเราไปได้ไกลตามที่เราต้องการ เราต้องทิ้งจักรยาน ไปขึ้นมอเตอร์ไซต์ จากนั้นทิ้งมอเตอร์ไซต์ไปขึ้นรถยนต์ ถ้าอยากจะไปให้ไกลกว่านั้น อาจจะต้องพึ่งเครื่องบิน หรือว่ารถไฟความเร็วสูง แล้วล่ะครับ (ซึ่งบ้านเราไม่มี ตึ่กโป๊ะ!!) อย่ายึดติดกับสิ่งที่ทำเงินให้เราได้เล็กน้อย โลกนี้มีอะไรให้เราเรียนรู้อีกมาก ลองเปิดใจรับสิ่งที่คุ้มค่ากว่า และพาเราสู่จุดมุ่งหมายได้ครับ : )